เลือก Catering แบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ

Catering

Catering เป็นบริการรูปแบบอาหารที่เราเติบโตมาพร้อมกับ บริการนี้ตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้ เพียงแต่เราอาจจะไม่คุ้นชื่อถ้างั้นถ้าผมเรียก “โต๊ะจีน” แน่นอนว่าทุกคนต้องรู้จักแนน่นอน เพราะทุก ๆ คนต้องผ่านรูปแบบนี้ในงานเลี้ยงต่าง ๆ เช่น กินเลี้ยงวันครบรอบบริษัท กินโต๊ะจีนงานบวชคนรู้จัก และยังมีอีกหลาย ๆ งานที่ใช้รู้แบบโต๊ะจีน แต่วันนี้เราจะมาแนะนำที่มากกว่าโต๊ะจีนกันว่ามีรูปแบบอะไรอีกบ้างที่เราสามารถเลือกใช้บริการ Catering

1.Cocktail

                เป้นรูปแบบการจัดอาหารเน้อนอื่มท้องแต่ทานไม่เยอะ นั้นคือจะเป็นการเสิร์ฟอาหารไว้ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งอาหารนั้นจะเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอดีคำให้แขกในพิธีตักทานง่าย ๆ  คำไม่ใหญ่เกินไป  โดยอาหารนั้นสามารถเดินหยิบได้เรื่อย ๆ ทางพนักงานจะเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ และเอามาถือไว้เผื่อแขกเรียกอีกด้วย ซึ่งงานที่ใช้การจัดรูปแบบั้นจะเน้นเป็นงานที่เน้นให้แขกได้คุยกันมากกว่ามาทานอาหาร เช่นแถลงข่าว งานแต่ง

2.โต๊ะจีน

            รูปแบบที่เราคุ้นเคยกันนั้นคือรูปแบบที่จะมีคนเข้ามาเอาอาหารมาเสิร์ฟ ไม่ว่าจะเป็นเซ็ทหรือแบบจานเดี่ยว ซึ่งการจัดงานยังนั้นจะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไปนั้นคือ ข้อดีทางเจ้าภาพจะสามารถกะจำนวนแขกที่เขข้ามาร่วมงานได้ แต่ข้อเสียนั้นก็มีด้วยเช่นกันนั้นคือ จะใช้พื้นที่เยอะ คนที่มาร่วมงานอาจจะไม่สนิทกันและเมื่อได้นั่งโต๊ะเดียวกันอาจจะอึดอัด  โดยการจัดงานเลี้ยงแบบโต๊ะจีนนั้นเหมาะกับงานที่มีแขกเป็นผู้ใหญ่ เช่นงานแต่ง  หรืองานเลี้ยงปีใหม่ขององกรร์ก็จะใช้รูปแบบนี้ด้วยเช่นกัน

3.บุแฟ่ต์

            การจัดที่ใคร ๆ หลายคนชอบเพราะแขกสามารถเดินตักทานอาหารแบบไม่จำกัดได้ด้วยโดยข้อดีของการจัดงานแบบนี้คือเราที่เป็นเจ้าภาพสามารถคำนนวนค่าอาหารแบบรายหัวได้เลย และยังสามารถเลือกอาหารตามใจเราได้อีกด้วย ส่วนข้อเสียนั้นคือไม่เหมาะกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่เดินบ่อย ๆ ไม่ได้  หรือคนที่ไม่สะดวกในการตักอาหารเอง งานนี้จะใช้ในการที่ไม่ได้ใช้พิธีรีตองไรมากเช่น งานเลี้ยงสังสรร์ในองกรณ์ งานแต่ง

                เป็นไงครับสำหรับ 3 รูปแบบการจัด Catering ดังนั้นหากท่านวางแผนจะจัดงานไว้แล้วละก็ลองเอาข้อมูลทั้งสามรูปแบบในการเลือกจัดงานดูสิครับว่าจัดรูปแบบไหนถึงจะเหมาะกับงานตัวเอง เพราะหากเลือกได้เหมาะกับการจัดงานของตัวเองนอกจากร้านที่จัดจะได้ชื่อเสียงด้วยแล้ว คุณอาจจะโดดนชมว่าตาถึงในการจัดงานด้วยนะครับ

พัฒนาสมองและความจำด้วยการฟังเพลง

พัฒนาสมองด้วยเพลง

การฟังดนตรีใช่ว่าจะให้ความผ่อนคลาย สนุกสนานและเพลิดเพลินได้อย่างเดียว แต่การฟังเพลงยังช่วยพัฒนาสมองและความจำของคุณได้ด้วย เพราะเมื่อคุณได้ยินเสียงเพลง สมองทุกส่วนจะตื่นตัวและเริ่มทำงาน โดยเริ่มจากสมองส่วน temporal lobe จะผสมผสานระดับเสียง ทำนอง และจังหวะเข้าด้วยกัน แล้วสมองซีกซ้ายจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลและเนื้อหาที่อยู่ในบทเพลง จากนั้นสมองส่วน limbic brain ที่มีหน้าที่สร้างอารมณ์และความรู้สึก จะนำเอาทำนองและเนื้อหาเพลงมาสร้างสรรค์เป็นจินตนาการต่อไป จึงทำงานสมองของเราตื่นตัวตลอดเวลา พร้อมที่จะรับข้อมูลต่าง ๆที่จะเข้ามาได้ดี

ข้อดีของการฟังเพลง

  1. ฟังเพลงเพื่อสมอง
  2. การฟังเพลงจะช่วยให้การทำงานของสมองโดยเฉพาะในส่วนที่เชื่อมโยงกับหน่วยความจำ ความรู้ความเข้าใจ ความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหาทำงานได้ดีกว่าปกติ
  3. ฟังเพลงเพื่อความสุข
  4. การฟังเพลงแบบที่ชอบจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขอย่างโดพามีนออกมา โดยเฉพาะการฟังเพลงแจ๊สจะช่วยเพิ่มการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินและสารอิมมูโนโกลบูลิน 
  5. ฟังเพลงเพื่อไกลโรค
  6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า การฟังดนตรีออร์เคสตราจะช่วยให้ผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมมีความมั่นใจในตนเองและอารมณ์ดีขึ้น 
  7. ส่วนการฟังเพลงคลาสสิค จะช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจและชีพจรช้าลง ช่วยลดความดันโลหิต และลดฮอร์โมนความเครียดได้ด้วย
  8. ฟังเพลงเพื่อสร้างสติและสมาธิ
  9. การฟังเพลงจบจนจะช่วยดึงดูดสมาธิให้เราจดจ่ออยู่กับดนตรี และทำนอง ไม่วอกแวก

เพลงแบบไหนที่ดีต่อสมอง?

  1. เพลงของ Mozart อย่าง Sonata for Two Pianos in D Major K448

ดนตรีคลาสสิกเมื่อมีการฟังอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เรามีเชาว์ปัญญาที่มากขึ้น และจินตนาการถูกพัฒนาไปในทางที่ดี โดยเฉพาะดนตรีในเพลงของ Mozart สามารถเปิดการใช้งานวงจรระหว่างเยื่อหุ้มสมองและเส้นประสาท (วงจรของเซลล์ประสาทในสมอง) ที่เกี่ยวข้องระบบความคิด ความเข้าใจ และการแก้ไขปัญหาให้ทำงานได้ดีขึ้น และช่วยทำให้มีสมาธิมากขึ้น

  • ดนตรีจากเปียโน

คลื่นเสียงเป็นระเบียบอย่างเปียโน เมื่อสมองส่วนรับรู้เกิดการรับ ส่ง และเชื่อมโยง เซลล์สมองจะแตกตัวมากขึ้น กระตุ้นสมองเปิดรับสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลายด้วย

การฟังเพลงจึงเปรียบเป็นยาบำรุงสมอง และยาคลายเครียดชั้นดี หากคุณอยากผ่อนคลายจากความเครียดในเรื่องต่าง ๆ หรือเด็กวัยเรียนกำลังอ่านหนังสือสอบ ก็ลองเปิดเพลงเบา ๆ คลอไปด้วย เชื่อได้ว่าคุณจะต้องรู้สึกดีขึ้น และจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่อ่านได้ดีขึ้นอย่างแน่นนอน

ประโยชน์ของดนตรีต่อพัฒนาการของเด็ก

ประโยชน์ของดนตรี

“ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก” ประโยคที่คงคุ้นหูสำหรับใครหลายๆ คน แต่จะมีสักกี่คนที่สนใจและเข้าใจอย่างแท้จริงว่าดนตรีมีประโยชน์ต่อเราอย่างไร แท้จริงแล้วดนตรีนั้น สามารถช่วยกระตุ้นและพัฒนาสมองของเราให้ดีมากยิ่งขึ้น ดนตรีจะมีส่วนช่วยทำให้อารมณ์ของผู้ฟังเปลี่ยนแปลงไป เพราะดนตรีสามารถเปลี่ยนแปลงสารเคมีในสมองและร่างกาย ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งข้อมูลที่อยู่ในรูปของไฟฟ้าเคมี ผ่านระบบประสาท ซึ่งดนตรีบางประเภทสามารถเตรียมสมองให้พร้อมสำหรับการทำงานได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในเด็ก ที่ดนตรีมีผลโดยตรงต่อพัฒนาการทางสมอง อารมณ์ ร่างกาย และจิตใจ ดังนี้

  1. พัฒนาการทางด้านสมอง ดนตรีจะช่วยให้เด็กๆ รู้สึกผ่อนคลาย โดยร่างกายจะหลั่งสารที่สามารถกระตุ้นให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงทำให้เด็กๆ ที่ฟังดนตรี มีพัฒนาการทางด้านสมองที่ไวกว่า
  2. พัฒนาการทางด้านร่างกาย ดนตรีมีจังหวะที่ค่อนข้างหลากหลาย จะช่วยกระตุ้นให้เด็กๆ ขยับร่างกายให้เป็นไปตามจังหวะของดนตรี เสมือนการออกกำลังกายแบบที่เด็กๆ สนุกสนานไปพร้อมกับได้พัฒนากล้ามเนื้อให้มีความแข้งแรงมากยิ่งขึ้น
  3. พัฒนาการทางด้านจิตใจ โดยเสียงของดนตรีจะช่วยให้จิตใจของผู้ฟังมีความอ่อนโยน สงบนิ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน พร้อมทั้งยังช่วยเรื่องของการพัฒนาด้านอารมณ์ เพราะดนตรีจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจ และทำให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย สงบ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ทำให้เป็นคนอารมณ์เย็น  สอนง่าน ไม่เจ้าอารมณ์
  4. พัฒนาการทางด้านภาษา ในแต่ลพบทเพลง จะมีการขัดเกลาภาษาที่คล้องจอง สละสลวย เพื่อให้บทเพลงมีความไพเราะ ซึ่งอาจประกอบไปด้วยบทประพันธ์ คำพูดต่างๆ ที่จะทำให้เด็กๆ จดจำ และเรียนรู้ภาษาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
  5. พัฒนาการทางด้านจินตนาการ ทั้งภาษา ทั้งจังหวะดนตรี ที่ประกอบกันนั้น สามารถสร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์ ให้กับเด็กๆ อีกด้วย
  6. พัฒนาการทางด้านสังคม ดนตรีทำให้เด็กๆ มีพัฒนาการทางสังคม มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ กับผู้อื่น เช่น ได้แลกเปลี่ยนความรู้ที่ได้จากบทเพลง การร้องเพลง การเคลื่อนไหวประกอบจังหวะเพลงร่วมกับเพื่อนๆ หรือในหมู่ญาติพี่น้อง

จะเห็นได้ว่า ดนตรี เป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาสมองให้กับเด็กๆ ได้เป้นอย่างดี เป็นสื่อที่สามารถหาได้ง่ายๆ และใกล้ตัว ไม่ใช่เพียงแค่เด็กที่ได้พัฒนาการจากดนตรี แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองจากดนตรีได้เช่นกัน ลองสังเกตเพื่อน หรือคนรอบข้างของตัวเราว่ามีคนไหน ที่ต้องอาศัยการฟังเพลงก่อนทำงานทุกครั้งหรือไม่ บางคนสร้างสมาธิด้วยการรับฟังดนตรีบรรเลงที่ทำให้สภาพจิตใจสงบนิ่ง แล้วค่อยเริ่มทำงาน ส่งผลให้การทำงานของเราเรียบร้อยและราบรื่นมากยิ่งขึ้นจะเห็นได้ว่าดนตรีไม่เพียงแต่ให้ความบันเทิงเท่านั้น ดนตรียังให้ความรู้ และพัฒนาการอย่างมากมายอีกด้วย

บทเพลงคาราบาวกับการสะท้อนค่านิยมในสังคม2

บทเพลงคาราบาว

บางคนคิดเพียงว่า เพลงก็คือเพลง จะสามารถสะท้อนสังคมได้อย่างไรกัน แต่จะมีสักกี่คนที่เชื่อว่า เพลงหนึ่งเพลง จะสามารถสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของสังคมในขณะนั้นได้ ในแต่ละยุคสมัยการสร้างสรรค์บทเพลงขึ้นมา ย่อมมีปัจจัย แรงบันดาลใจต่างๆ ที่ทำให้ผู้แต่งหยิบยกขึ้นมาเพื่อเรียบเรียงเป็นบทเพลง บ้างนึกจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนรัก ที่สรรค์สร้างออกมาเป็นเพลงรัก หวานๆ ซึ้งๆ แต่ใช่ว่าเพลงจะเป็นเพลงรักเสมอไป ลึกๆ แล้ว เมื่อฟังแล้วคิด วิเคราะห์ตาม เราจะได้ทราบถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ ในบทเพลง รวมถึงค่านิยม ที่ใครหลายๆ คน ไม่คิดว่าจะพบในบทเพลงด้วย

          ในช่วงหนึ่ง เพลงที่สามารถสะท้อนสังคม และค่านิยมได้ มักจะเป็นบทเพลงที่ใครๆ ต่างเรียกว่า เพื่อชีวิต โดยบทเพลงเหล่านี้ได้รับการสรรค์สร้างมาจากสภาพแวดล้อม สังคม และชีวิตของผู้แต่งในขณะนั้น จึงสามารถสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ตั้งแต่ชื่อเพลง จนกระทั่งในเนื้อเพลง โดยเพลงเพื่อชีวิต ที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมมากที่สุด คือ เพื่อชีวิตของคาราบาว ที่ผู้คนนิยมเป็นอย่างมาก และยังฮิตติดหูมาจนถึงปัจจุบัน ลองมาดูกันว่า บทเพลงใดของคาราบาว ที่สามารถสะท้อนค่านิยมต่างๆ ในสังคมให้ผู้ฟังได้รับรู้บ้าง

  1. เพลง แม่สาย พ.ศ.2531 เนื้อความในสบทเพลง กล่าวถึง ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ที่ถูกพ่อแม่ขายให้เป็นโสเภณีในเมืองหลวง ด้วยความรักและกตัญญูต่อบุพการี เธอจึงต้องยอมแลกอิสระภาพและความสุข ไปกับการเป็นโสเภณี สะท้อนให้เห็นว่าในยุคสมัยนั้น ในชนบทเต็มไปด้วยความยากจนและแร้นแค้น จนกระทั่งพ่อแม่ต้องตัดสินใจขายลูกสาว เพื่อให้ตนเองได้มีกินมีอยู่ ส่วนลูกนั้น ต้องยอมจำนนด้วยเพียงวเพราะความกตัญญุ โดยไม่คำนึงถึงความลำบากกายและทุกข์ใจของตนเอง อีกทั้งยังสะท้อนปัญหาของโสเภณีที่มีมากในสมัยนั้นด้วย
  2. เพลง มหาลัย พ.ศ.2527 เป็นบทเพลงที่เนื้อหายังคงกินใจผู้ฟังตั้งแต่ยุคนั้นมาจนถึงยุคนี้ ซึ่งก็ผ่านมาแล้ว 35 ปี เนื่องจากเนื้อหาของบทเพลง ได้กล่าวถึงนักศึกษาที่เรียนจบแล้วแต่ยังไม่มีงานทำ เพราะแพ้เส้นสายต่างๆ ทำให้ตนยังไม่สามารถหางานได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่ยังคงพบเจออยุ่ในปัจจุบัน เรื่องของเส้นสายที่พบได้ในทุกหน่วยงานทั่วประเทศไทย รวมถึงนักศึกษาที่ตั้งใจเล่าเรียน แต่สุดท้ายก็ตกงาน ถึงว่าเปิดเพลงนี้ทีไร สะกิดใจให้วัยเรียนลุกขึ้นโชว์พลังเสียงกันอย่างคึกคนอง
  3. เพลงวิชาแพะ พ.ศ.2534 หลายคนคงงุนงงว่า วิชาแพะมันคืออะไร หรือบางคนก็เข้าใจดี แพะในบทเพลงนี้หมายถึง แพะรับบาป เป็นเพลงที่จิกกัดสังคมได้อย่างแยบยล ที่แฝงไปด้วยความงดงามของภาษาที่ผู้แต่งประพันธ์ออกมาเป็นบทเพลง ซึ่งเพลงนี้สามารถสะท้อนปัญหาของสังคมไทยเรื่องการจับแพะ หรือการยอมเป้นแพะได้เป็นอย่างดี

จะเห็นได้ว่าบทเพลงต่างๆ ไม่ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อความจรรโลงใจเท่านั้น แต่ยังสามารถให้เราได้ศึกษาและเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ หรือสภาพสังคม ค่านิยมในแต่ละยุคสมัยได้อีกด้วย